1.2 The Origin of the Sun

1.2 The Origin of the Sun
ในส่วนของการเกิดดวงอาทิตย์ภายหลังการระเบิดครั้งใหญ่ นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันยอมรับในทฤษฎี Gravitational collapse theory หรือบางครั้งเรียกกันว่าnebula theory หรือ dust-cloud theory ซึ่งตามทฤษฎีดังกล่าวดาวฤกษ์ต่าง ๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ จะก่อตัวในแบบเดียวกันและบางครั้งดาวเคราะห์ก็จะเกิดจากการสร้างตัวของดาวฤกษ์ด้วยเช่นกัน ในระหว่างดาวฤกษ์ต่างๆประมาณร้อยละ 99 จะประกอบด้วยกลุ่มก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียม เรียกว่า nebulae (ภาษาละตินหมายถึงเมฆหรือหมอก) ต่อมา nebulae นี้เกิดการรวมตัวกันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วง ซึ่งจะมากกว่ามวลของดวงอาทิตย์ปัจจุบันเล็กน้อย (ประมาณ 2x1027ตัน) เมื่อกลุ่มก๊าซรวมตัวกันมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น อัตราการหมุนของกลุ่มก๊าซดังกล่าวก็จะเพิ่มขึ้นด้วยทำให้กลุ่มก๊าซมีรูปทรงแบนเรียบและส่วนใหญ่จะรวมกันที่จุดศูนย์กลาง ซึ่งกลายเป็นดวงอาทิตย์ในเวลาต่อมา ส่วนที่เหลือของกลุ่มก๊าซจะมีลักษณะเหมือนจานทรงกลมหมุนรอบจุดศูนย์กลาง และเกิดการรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ต่าง ๆ ดวงอาทิตย์ในระยะเริ่มก่อกำเนิดนั้นเรียกว่า protosunจะมีอุณหภูมิสูงมากถึงหลายล้านเคลวิน ความดันมหาศาลที่เกิดขึ้นในดวงอาทิตย์เกิดจากการชนกันของอนุภาคหรือ nuclear fusion ที่เกิดขึ้นในดวงอาทิตย์ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากนั้นจะก่อให้เกิดพลังงานอย่างเพียงพอที่จะรักษาอุณหภูมิและความดันไว้ให้คงที่ ทำให้ดวงอาทิตย์มีขนาดคงที่มาจนถึงปัจจุบัน ระยะเวลาที่ใช้เริ่มจาก nebulae จนถึงเป็นดวงอาทิตย์นั้นใช้เวลาถึง 4.6 พันล้านปี

เหตุที่นักดาราศาสตร์สามารถทราบถึงอายุของการกำเนิดสุริยจักรวาลได้เนื่องจากมีหลักฐานของสะเก็ดของดาวหางที่ตกลงมาสู่โลกบางชิ้นมีอายุระหว่าง 4.5-4.6 พันล้านปี และชิ้นส่วนของหินจากดวงจันทร์ที่นำกลับมาสู่โลกจากการเดินทางไปดวงจันทร์เมื่อปี ค.ศ. 1969 ก็มีอายุใกล้เคียงกัน

ที่มา:http://www.agri.kmitl.ac.th/elearning/courseware/aquatic/_1_.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Kroobannok Education News

สนุก! คอมพิวเตอร์