4. Sun and moon together
เมื่อเรารวมเอาอิทธิพลของแรงดึงดูดระหว่างมวลและแรงหนีศูนย์กลาง
ของทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่มีต่อโลกก็จะเกิดผลร่วมกันทำให้น้ำขึ้นน้ำลงที่เกิดขึ้น
ถูกกำหนดโดยตำแหน่งการวางตัวของดวงดาวทั้งสาม (ภาพที่ 9.6) เมื่อโลก, ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยจะอยู่ในช่วงขึ้น 15
ค่ำ (พระจันทร์เต็มดวง, full moon) และแรม 15
ค่ำ (new moon) แรงที่เกิดขึ้นจะเสริมกันทำให้น้ำขึ้นและน้ำลงที่เกิดขึ้นมีระดับสูงสุด
ซึ่งหมายถึงความแตกต่างของระดับน้ำระหว่างน้ำขึ้นและน้ำลงมีค่าสูงสุดเราจะเรียกว่า
spring tides หรือน้ำเกิด
ส่วนช่วงเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนตัวตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ ซึ่งจะอยู่ในช่วง first
quarter และ third quarter ความแตกต่างระหว่างน้ำขึ้นสูงสุดและน้ำลงต่ำสุดมีค่ามากที่สุดเราจะเรียกว่า
น้ำตายหรือ neap tides (ภาพที่ 9.7) ภาพที่
9.8 แสดงถึงช่วงน้ำขึ้นน้ำลงในรอบเดือนของบางบริเวณของโลก
ภาพที่ 9.6 ตำแหน่งของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ในวันขึ้น และ แรม 15 ค่ำซึ่งเป็นช่วงน้ำเกิด
ที่มา: Garrison (2007)
ภาพที่ 9.7 ตำแหน่งของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ในวันขึ้น และ แรม 8 ค่ำซึ่งเป็นช่วงน้ำตาย
ที่มา: Garrison (2007)
ภาพที่ 9.8 ความสูงของระดับน้ำขึ้นน้ำลงในรอบเดือนที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาและ Port Adelaide ออสเตรเลีย
ที่มา: Garrison (2007)
และเนื่องจากวงโคจรของดวงดาวทั้งสามไม่ได้เป็นวงกลมอย่างสมบูรณ์
จึงมีบางช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาอยู่ที่ตำแหน่งใกล้โลกมากกว่าปกติ
บางเวลาดวงจันทร์มาอยู่ใกล้โลกเพียง 25,000 กิโลเมตร
แรงดึงดูดระหว่างมวลของดวงจันทร์และโลกจึงมากกว่าปกติ ดังนั้นในระยะเวลาดังกล่าวและโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดจึงจะทำให้น้ำเกิดที่เกิดขึ้นมีค่าสูงที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น